วันจันทร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2561

วิธีเลือกซื้อโปรแกรมขายหน้าร้าน



ปัจจุบันคงปฏิเสธไม่ได้ว่า โปรแกรมคิดเงินหรือโปรแกรม POS นั้น ได้เข้ามามีบทบาทแทนที่เครื่องบันทึกเงินสดจนเกือบจะ 100% ในร้านค้าปลีกทั่วไป หันมาใช้คอมพิวเตอร์ติดตั้งโปรแกรม POS หรือโปรแกรมขายหน้าร้าน หรือโปรแกรมคิดเงิน และต่อพ่วงอุปกรณ์ POS แทนการใช้เครื่องบันทึกเงินสด หรือเครื่องแคชเชียร์ เพราะมีความสามารถมาก การติดตั้งก็ไม่ยุ่งยาก เพียงต่ออุปกรณ์ POS เช่น เครื่องพิมพ์ใบเสร็จ เครื่องอ่านบาร์โค้ด (Barcode Scanner) ลิ้นชักเก็บเงิน (Cash Drawer) และ ติดตั้งโปรแกรมขายหน้าร้าน หรือโปรแกรม POS เท่านี้ก็สามารถใช้งานระบบ POS เพื่อบันทึกยอดขายและคุมสต็อกได้แล้ว
POS คือ ระบบขายหน้าร้าน ชื่อเต็มของ POS คือ Point of sale ก็หมายถึง บริเวณจุดขายหรือจุดชำระเงิน ตรงแคชเชียร์ ที่เรามักเห็นตามห้างสรรพสินค้า  ร้านค้ามินิมาร์ทต่างๆ ซึ่งนำหลักการของเครื่องคิดเงิน (Cash Register) มาเขียนโปรแกรมพัฒนาบนคอมพิวเตอร์ แล้วเพิ่มเติมความสามารถต่างๆที่เครื่องเก็บเงินทำไม่ได้ เช่น สามารถตัดสต็อกได้ ดูความเคลื่อนไหวต่างๆของสินค้า หรือ ระบบสมาชิก ตลอดจนดูข้อมูลผ่านอินเตอร์เน็ท ซึ่งความสามารถเหล่านี้ เครื่องเก็บเงินไม่สามารถทำได้ ถึงแม้ว่าเครื่องเก็บเงินในปัจจุบัน ได้พัฒนารูปทรงให้เหมือนคอมพิวเตอร์ บางยี่ห้อทำเป็นหน้าจอระบบสัมผัสได้ แต่ข้างในยังเป็นเครื่องเก็บเงินอยู่ คือไม่มี Harddisk ถึงจะเปลี่ยนรูปทรงอย่างไร ก็ไม่ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์อยู่ดี
      สำหรับท่านที่คิดจะเปิดร้านใหม่หรือมีร้านอยู่แล้วแนะนำระบบ POSไม่ว่าจะเป็น ร้านขายเสื้อผ้า รองเท้า เครื่องสำอาง แฟชั่น ร้านหนังสือ ร้านค้า มินิมาร์ท ฯลฯแล้วคิดว่า อยากจะหาโปรแกรมคิดเงินหรือโปรแกรมขายหน้าร้านดี ๆ สักตัว เพื่อมาช่วยให้การขายสินค้าของท่านสะดวกและรวดเร็วมากขึ้น หรืออาจจะใช้ระบบบาร์โค้ดด้วยก็ได้ ข้อดีคือ  สามารถเช็คได้ว่าสินค้า หรือเมนูไหนขายดี  ทำโปรโมชั่น โดยสรุปยอดขายไม่ผิดพลาด ไม่เกิดของหาย ช่วยให้บริการลูกค้าได้รวดเร็วขึ้น ลดปัญหา เงินหาย หรือ ยอดขายไม่ตรง  มองเห็นยอดขายแม้เจ้าของไม่อยู่หน้าร้าน (ระบบ cloud)และอีกมากมาย  โดยก่อนตัดสินใจ เลือก ต้องศึกษาข้อมูล ในด้านต่างๆ  ดังนี้

1.ศึกษาหาข้อมูล จากแหล่งต่างๆก่อน   ตัวอย่างเช่น
  • จากเพื่อนหรือคนรู้จัก
  • จากเว็ปไซด์ ต่างๆ
  • ค้นหาจาก www.Google.com                 
               แนะนำให้หาข้อมูลเองจาก Google  อย่าเชื่อคนอื่นทั้งหมด  เพราะโปรแกรมขายหน้าร้านถูกออกแบบมาไม่เหมือนกัน อาจจะใช้ได้ดีกับบางร้าน  แต่อาจจะไม่เหมาะกับร้านของเรา  เป็นต้น  ฉนั้นเราต้องศึกษาเองว่า โปรแกรมของเจ้าไหนเหมาะสมกับเรามากที่สุด

 ประเภทของโปรแกรมเก็บเงินหน้าร้าน 
แบบที่ 1  เป็นโปรแกรมเก็บเงินหน้าร้านโดยเฉพาะ ( POS หรือ Point of sale ) 
               โปรแกรมประเภทนี้จะถูกออกแบบและพัฒนาโปรแกรม  มาเพื่องานขายหน้าร้านโดยเฉพาะ  การทำงานจะง่ายและไม่ซับซ้อน  มีความหยืดหยุ่นสูงกว่า  วิธีสังเกตุของโปรแกรมประเภทนี้  หน้าตาโปรแกรมจะสบายตา  ไม่เป็นตารางๆ ออกแบบหน้าตาโปรแกรมให้ใช้งานง่าย  จะไม่มีคำว่า ลูกหนี้ เจ้าหนี้ หรือคำอื่นๆที่เป็นภาษาบัญชี  จะมีไม่กี่บริษัทที่ทำโปรแกรมเก็บเงินหน้าร้านโดยเฉพาะ
                เหมาะสำหรับร้านค้าทั่วไป  ที่เป็นเจ้าของคนเดียว หรือ เป็นนิติบุคคล  ที่จ้างสำนักงานบัญชีทำบัญชีส่งให้สรรพากรอีกที 
แบบที่ 2 เป็นโปรแกรมบัญชี  ที่มีส่วนของหน้าร้าน ( Accounting Software) 
               โปรแกรมประเภทนี้  จะใช้การหลักทำงานของโปรแกรมบัญชีทั้งหมดมาใช้กับงานขายหน้าร้าน  ซึ่งโปรแกรมเก็บเงินส่วนใหญ่ในตลาดเป็นแบบนี้  ทำให้มีความยุ่งยากในการใช้งานมาก ไม่คล่องตัว  มีข้อจำกัดเยอะ  มีขั้นตอนในการใช้งานมาก วิธีสังเกตุของโปรแกรมประเภทนี้  ดูได้จากคำว่า ลูกหนี้ , เจ้าหนี้ , ใบเสนอราคา หรือ ระบบเช็คธนาคาร เป็นต้น
               เหมาะสำหรับร้านค้าที่เป็นรูปบริษัท  และ ทำบัญชีส่งสรรพากรเอง  ไม่เหมาะอย่างยิ่งกับบุคลธรรมดา  หรือร้านค้าขนาดเล็ก  เพราะโปรแกรมถูกออกแบบมาเพื่อ  ให้มีการทำงานของหลายๆแผนก โดยเฉพาะแผนกบัญชี ที่ต้องนำข้อมูลทั้งหมดนี้ ไปทำงบการเงินส่งสรรพากรอีกที 
               ดังนั้นโครงสร้างของโปรแกรม  จึงไม่เหมือนกัน  วิธีการคิดและวิธีออกแบบโปรแกรมก็ต่างกันมาก  เพราะแต่ละโปรแกรมถูกพัฒนาขึ้นมา   มีจุดประสงค์ไม่เหมือนกัน 

2.เปรียบเทียบข้อมูล เลือกที่ถูกใจที่สุด 
                 เมื่อเราเริ่มมีความรู้ด้านนี้พอสมควร   สามารถแยกออกแล้วระหว่างโปรแกรมหน้าร้าน กับ โปรแกรมบัญชี ว่าต่างกันอย่างไร   เราต้องรู้รูปแบบของร้านเรา ว่าเปิดเป็นร้านค้าประเภทใด  และ ดูความต้องการที่แท้จริง  ว่าเราต้องการโปรแกรมประเภทไหนกันแน่  เมื่อได้ข้อมูลจนเป็นที่พอใจ  แล้วทำการคัดเลือกโปรแกรมที่ถูกใจและเหมาะกับเรามากที่สุด
               
3.โทรสอบถามเจ้าของผลิตภัณฑ์  
                เมื่อเราคัดเลือกได้แล้ว   เราควรโทรเข้าไปสอบถามเพิ่มเติมในส่วนที่เราต้องการรู้  ถามให้ละเอียดก่อนตัดสินใจ ทุกโปรแกรมยินดีให้ข้อมูลเต็มที่อยู่แล้วครับ  ดูเบอร์โทรตรง ติดต่อเรา หรือ Contact Us ก่อนโทรไปคุย  ลองดูสักนิดว่า  โปรแกรมที่เราเลือกนั้น  เป็นรูปแบบบุคคลธรรมดา  หรือ รูปบริษัท  เพราะจะมีผลต่อการบริการหลังการขาย  ในรูปบริษัทย่อมน่าเชื่อถือกว่า  โปรแกรมเก็บเงินหน้าร้านมันไม่ใช้แค่ติดตั้งแล้วจบกัน  เหมือน เครื่องใช้ไฟฟ้า  มันมีอะไรมากกว่านั้น  ควรจะมีทีมสำหรับบริการโดยเฉพาะ  ปัญหาที่พบบ่อย ส่วนใหญ่เป็นปัญหา ไวรัส , คอมพิวเตอร์ , Network และ ปัญหาจาก Windows ซึ่งบางที่ก็ไม่เกี่ยวกับโปรแกรมขายหน้าร้าน  แต่เจ้าหน้าที่ก็ควรให้คำแนะนำได้ ว่าจะแก้ไขปัญหาอย่างไร  หลายๆที่เมื่อเช็คอาการแล้วไม่เกี่ยวกับโปรแกรม  อาจถูกปฎิเสธการให้บริการได้ 
                ดังนั้นก่อนตัดสินใจ  ควรโทรไปสอบถาม  เช็คให้แน่ใจก่อนว่าเป็นบุคคลธรรมดา  หรือ เป็นรูปบริษัท มีผลต่อการให้บริการภายหลัง  เพื่อความแน่ใจ   เราลองขอดูตัวอย่างการใช้งานของโปรแกรม  มาทดลองใช้หรือดูหน้าตาการทำงานต่างๆ  ซึ่งมีหลายวิธีในการทดลองใช้งานของโปรแกรม 
  • ดาวน์โหลด  จากอินเตอร์เน็ท  ในเว็บไซด์ของโปรแกรมนั้นๆ  ซึ่งส่วนใหญ่จะมีให้ดาวน์โหลดฟรี  แต่อยากให้สังเกตุ  เมื่อดาวน์โหลดมาแล้วส่วนใหญ่จะใช้งานไม่ได้จริง  เพราะ เป็นแค่ไฟล์ธรรมดา ไม่ใช้โปรแกรมฐานข้อมูล ทำให้เสียเวลาในการทำความเข้าใจและเสียเวลาในการป้อนข้อมูล และส่วนใหญ่จะใช้ฐานข้อมูลขนาดเล็ก เมื่อใช้ไปนานๆจะมีปัญหาเรื่องการเก็บข้อมูล และ ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ช้าลงอย่างมาก

  • สาธิตโปรแกรมผ่านอินเตอร์เน็ท   โดยเจ้าของโปรแกรม จะให้เรารีโมท เข้าไปที่เครื่อง   โดยผ่าน โปรแกรม Teamviwer ซึ่งสามารถโหลดได้ฟรีจาก Googel   หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ก็จะทำการอธิบายการทำงานต่างๆของโปรแกรมให้เราทราบ  ผ่านทางโทรศัพท์  โดยจะเห็นหน้าจอเดียวกันกับเจ้าของโปรแกรมเลย ทำให้เข้าใจได้ง่ายและไม่เสียเวลาเรียนรู้

  • เรียกเจ้าหน้าที่เข้ามาสาธิตโปรแกรมให้เราดูที่ร้านเลย   ซึ่งบางโปรแกรมจะมีบริการให้ฟรี  บางโปรแกรมก็อาจเก็บค่าใช้จ่าย   แบบนี้จะได้รายละเอียดครบกว่า เพราะสามารถสอบถามปัญหาต่างๆที่เราอยากรู้ได้เลย  ว่าโปรแกรมตรงกับความต้องการของเราหรือไม่

4.ขอใบเสนอราคา
                 เมื่อศึกษาและดูการทำงานของโปรแกรมจนแน่ใจแล้ว  ก็ขอใบเสนอราคาจากแต่ละโปรแกรม เราต้องดูว่าโปรแกรมที่เสนอมารวมภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ ยังไม่รวม  ให้ดูข้อเสนอต่างๆ เช่น มีบริการสอนถึงที่ไหม สอนใช้เวลานานแค่ไหน  โปรแกรมหลายที่บอกว่าใช้งานง่าย  ให้ดูตรงระยะเวลาการสอน ว่าสอนใช้เวลากี่ชั่วโมง หรือ กี่วัน ถ้าเป็นโปรแกรมที่ใช้งานง่ายจริง ก็ไม่หน้าเกิน 3 ชั่วโมง ก็จะเข้าใจโปรแกรมทั้งหมดแล้ว  ที่สำคัญที่ควรดู  เราควรดูว่า มีค่าบริการรายปีหรือไม่  ถ้ามีคิดเท่าไรต่อปี  แล้วคิดย้อนหลังหรือเปล่า เช่น บางโปรแกรมคิดค่าบริการปีละ 2,000 บาท  ปีที่ 2-4 ผ่านไปไม่มีอะไร  แต่เข้าปีที่ 5 เกิดปัญหา เค้าจะคิดย้อนหลังของปีที่ 2 ถึงปีที่ 5 ด้วย รวมเป็น 8,000 บาท อันนี้ต้องระวัง  เราต้องถามให้หมด หลายคนโดนแบบนี้ถึงกับเลิกใช้โปรแกรมไปเลยก็มี

5. เปรียบเทียบราคา
                 เมื่อได้ใบเสนอราคามาหมดแล้ว  ทำการเปรียบเทียบราคา และ เลือกโปรแกรมที่ถูกใจ  และ เหมาะสมกับร้านเรามากที่สุด  อย่าดูเพียงแค่ราคาอย่างเดียว ให้ดูบริการหลังการขาย  การรับประกัน  ค่าใช้จ่ายต่างๆที่จะเกิดขึ้นหลังจากติดตั้งโปรแกรมด้วย  และที่สำคัญต้องดูว่าเป็นบุคคลธรรมดา หรือ เป็นรูปบริษัท 
                 ถ้าเป็นโปรแกรมราคาถูก  จะใช้ฐานข้อมูลจะขนาดเล็ก  เก็บข้อมูลได้น้อย  ส่วนใหญ่จะเป็นในรูปของบุคคลธรรมดา  โปรแกรมประเภทนี้จะมีปัญหาเรื่อง บริการหลังการขาย และประสิทธิภาพของโปรแกรมยังไม่เสถียร  ยังมีปัญหาในการใช้งานค่อนข้างมาก 
                 เหมาะสำหรับร้านค้าขนาดย่อย หรือ ร้านค้าที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์  ลองซื้อมาใช้  เสียเวลาป้อนข้อมูลทุกอย่าง แต่ถึงเวลา  โปรแกรมไม่สามารถใช้งานได้จริง ต้องเสียเวลาเรียนรู้และป้อนข้อมูล  และต้องเสียเงินสองรอบเพื่อหาซื้อโปรแกรมใหม่  แล้วก็ไม่รู้ว่าโปรแกรมที่ซื้อมาใหม่จะเหมือนเดิมหรือเปล่า ดังนั้นเราต้องศึกษาจากข้อมูลเบื้องต้นที่ให้ไว้ด้านบน

 6.ตัดสินใจซื้อ 
                เมื่อไตร่ตรองถี่ถ้วนแล้ว ว่าโปรแกรมเก็บเงินหน้าร้าน ที่เหมาะกับร้านของเรา  เป็นของเจ้าไหน ก็ตัดสินใจซื้อได้เลย  แต่ก็ต้องดูการชำระเงินด้วย  บางรายจะให้โอนก่อน 100% หรือ บางรายก็จะเก็บเงินค่ามัดจำบางส่วน  และ เก็บที่เหลือทั้งหมดเมื่อวันติดตั้ง 

7.โทรนัดวันเวลาติดตั้ง 
                เมื่อตัดสินใจเลือกซื้อแล้ว  ก็ถึงเวลาโทรนัดวันเวลาติดตั้ง  เราควรพร้อมทั้งสถานที่ และ คนที่จะเรียนรู้ 
  • ความพร้อมด้านสถานที่ ควรมีปลั๊กไฟให้เรียบร้อย มีโต๊ะทำงานหรือเคาเตอร์ที่สามารถเรียนรู้โปรแกรมได้อย่างสะดวก สถานที่ต้องเอื้อประโยชน์ในการเรียนรู้โปรแกรม  บางที่สียังแห้ง ไฟยังไม่มา และปัญหาอื่นๆ ควรให้สถานที่พร้อมก่อนแล้วค่อยนัดติดตั้งโปรแกรม
  • ความพร้อมของคนเรียน  คนที่เรียนต้องมีสมาธิในการเรียน เพราะเป็นสิ่งใหม่ที่เรายังไม่เคยใช้มาก่อน จำเป็นต้องเริ่มต้นเรียนรู้ใหม่  อย่าเพิ่งเอาเวลาไปจัดสินค้า หรือ เอาเวลาไปขายของ เพราะเจ้าหน้าที่เค้าจะเข้าไปสอนถึงสถานที่เพียงครั้งเดียว ครั้งต่อไปจะสอนทางโทรศัพท์แทน ดังนั้นเราต้องให้ความสำคัญต้องการเรียนรู้โปรแกรมให้มาก  เมื่อเราเข้าใจโปรแกรมแล้ว  ปัญหาต่างๆจะหมดไป
สำหรับคนที่เพิ่งเปิดร้านใหม่ 
                แนะนำให้ซื้อโปรแกรมเก็บเงิน ก่อนเปิดร้าน ล่วงหน้า 1-2 อาทิตย์ หรือ ก่อนที่สินค้าจะมาส่ง เพราะเมื่อสินค้ามาส่งเราก็จะยุ่งการจัดสินค้า ทำให้ไม่มีสมาธิในการเรียนรู้ เราควรซื้อโปรแกรมก่อน เพราะจะทำให้รู้ว่าเราควรจะเริ่มทำอะไรตรงไหน  เราต้องคียส์ข้อมูลสินค้าต่างๆ  พร้อมทั้งสต็อก เข้าไปทั้งหมดก่อนการขายจริง ข้อมูลถึงจะถูกต้อง สต็อกถึงจะตรงตั้งแต่แรก  หลายคนคิดว่าซื้อโปรแกรมแล้ววันรุ่งขึ้นแล้วขายได้เลย มันก็อาจจะทำได้  ถ้าสินค้าเราไม่มาก และ คนป้อนข้อมูลพิมพ์ได้เร็ว  ส่วนใหญ่จะทำไม่ทัน  แล้วขายไปก่อน สต็อกก็จะไม่ถูกตั้งแต่เปิดร้าน แล้วก็มานั่งนับสต็อกกันใหม่ กว่าจะตรงจะใช้เวลานาน  ทำให้มันถูกต้องตั้งแต่ครั้งแรกจะดีกว่า 
               บางรายคิดว่าซื้อโปรแกรมมาแล้วเจ้าหน้าที่จะป้อนข้อมูลให้หมด  เราไม่ต้องทำอะไรเลย  เป็นความคิดที่ผิดนะครับ เจ้าหน้าที่จะสอนการป้อนข้อมูลต่างๆให้เราเป็นคนป้อนข้อมูลเอง  เพราะเราจะรู้จักสินค้าทั้งหมดดีที่สุด คนอื่นจะไม่รู้ดีเท่าเรา  บางโปรแกรมรับป้อนข้อมูลให้ลูกค้าทั้งหมด  พอถึงเวลาที่เราที่เราจะเพิ่มข้อมูลสินค้าหรือข้อมูลบางอย่าง  เค้าจะคิดค่าใช้จ่ายเราตลอด จนกว่าเราจะเลิกใช้โปรแกรมนะครับ  ดังนั้นแนะนำว่าเราควรศึกษาการใช้งานของโปรแกรมและป้อนข้อมูลเองทั้งหมดจะดีที่สุด
 สำหรับคนที่เปิดร้านแล้ว
              สามารถซื้อโปรแกรมเก็บเงินมาใช้ได้เลย โดยแบ่งกลุ่มออกเป็นหมวดหมู่ต่างๆไว้ล่วงหน้าก่อน  ส่วนสต็อกถ้ามีเวลา ก็นับสต็อกล่วงหน้าไว้ก่อนจะช่วยประหยัดเวลาได้เยอะ แล้วทำตามขั้นตอนต่างๆของโปรแกรมได้เลย   
              บางโปรแกรมสามารถนำข้อมูลจากโปรแกรมเก่ามาใช้ได้  โดยนำข้อมูลที่เป็น Excel มาใส่ในโปรแกรมใหม่ได้เลย  ทำให้เราไม่ต้องคีย์ข้อมูลใหม่ทั้งหมด ที่เหลือก็ใส่แค่สต็อกและข้อมูลบางอย่างเท่านั้น  ช่วยประหยัดเวลาไปได้เยอะ บางคนไม่อยากเปลี่ยนโปรแกรมทั้งๆที่ใช้มามีปัญหามากมาย  เพราะไม่อยากคีย์ข้อมูลใหม่ ตอนนี้ลองมองหาโปรแกรมใหม่ได้แล้วนะครับ 

8.ชำระเงิน 
             การชำระเงินก็สำคัญ บางรายก็มีเก็บค่ามัดจำบางส่วน  บางรายก็ชำระเต็มจำนวนในวันติดตั้ง  ถ้าลูกค้าลูกในกรุงเทพและปริมณฑลไม่ค่อยมีปัญหาอะไร  ที่จะมีปัญหาคือลูกค้าที่อยู่ต่างจังหวัด  ต้องดูและศึกษาให้แน่ใจก่อนตัดสินใจโอนเงิน  ถ้าเป็นบุคคลธรรมดา  ต้องระมัดระวังมากหน่อย เพราะมีความเสี่ยงสูงกว่าซื้อกับบริษัท  มีโอกาสที่โอนไปแล้วจะไม่ได้ของนะครับ  แนะนำว่าควรซื้อโปรแกรมกับบริษัท จะปลอดภัยกว่า
             เวลาโอนให้ดูชื่อบัญชี  ว่าเป็นชื่อบุคลธรรมดา หรือ ชื่อบริษัท  บางโปรแกรมเปิดเป็นรูปบริษัท แต่เวลาให้ลูกค้าโอนเงิน กลับเป็นชื่อบุคคลธรรมดา แบบนี้ก็ต้องระวังนะครับ

9.บริการหลังการขาย
             เป็นหัวใจสำคัญที่สุด ที่เราจะต้องพิจารณามากกว่าราคา บางโปรแกรมราคาถูก แต่บริการหลังการขายไม่ดี  แบบนี้ย่อมซื้อโปรแกรมแพงหน่อยจะดีกว่า เพราะ โปรแกรมเก็บเงินหน้าร้าน ไม่เหมือนกับสินค้าอื่นๆ ที่ขายแล้วจบกัน  จำเป็นต้องมีบริการหลังการขายอีกมากและเป็นอะไรที่ต้องการความรวดเร็วในการแก้ปัญหา
ปัญหาอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น  
  • ปัญหาจากตัวโปรแกรมเอง
  • ปัญหาของเครื่องคอมพิวเตอร์
  • ปัญหาจากWindows
  • ปัญหาจาก ไวรัส
  • ปัญหาจากระบบ Network  
  • ปัญหาจากผู้ใช้งาน  
            ซึ่งหลายๆปัญหาไม่ได้เกิดจากตัวโปรแกรม ยิ่งถ้าเราซื้อโปรแกรมกับคอมพิวเตอร์พร้อมอุปกรณ์แยกกัน ผู้จำหน่ายโปรแกรมบางรายอาจจะไม่ Support เรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตนเอง  เช่น ลูกค้าซื้อโปรแกรมจากที่หนึ่ง  แล้วไปใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่หามาเอง แล้ววันหนึ่งเกิด windows เสีย หรือ Hard Desk พัง ทางโปรแกรมบางรายอาจจะไม่บริการให้ เพราะไม่เกี่ยวกับตนเอง บางที่ก็ให้ลูกค้าซื้อโปรแกรมใหม่อีกครั้งเพราะหมายเลขเครื่องที่ผูกกับโปรแกรมได้เปลี่ยนไป  ปัญหานี้เกิดบ่อย ดังนั้นแนะนำว่าควรซื้อจากที่เดียวกันจะดีกว่าครับ 
             บางโปรแกรมเวลาติดปัญหาอะไร  ให้โทรเข้าเบอร์ปกติที่สำนักงาน  ซึ่งเป็นระบบตอบรับอัตโนมัติ  ให้เราตอบข้อมูลต่างๆก่อนจะให้บริการ ซึ่งกว่าจะได้คุยกับเจ้าหน้าที่ ใช้เวลานานหรือบางทีก็ถูกตัดสายทิ้งก็มีบ่อย  จะเป็นลักษณะเดียวกันกับที่เราโทรไปธนาคารต่างๆ   ถ้าแบบนี้จะให้บริการไม่ทันเมื่อเกิดปัญหา  บางที่ดีหน่อยที่มีเบอร์ Hot Line สายด่วนถึงเบอร์มือถือของเจ้าหน้าที่ Support โดยตรง ทำให้แก้ปัญหาได้ทันที หรือบางที่ก็สามารถ รีโมท ผ่านเน็ท เข้ามาแก้ไขที่เครื่องของเราได้เลย  แบบนี้จะแก้ปัญหาได้รวดเร็วและตรงจุดมากกว่าครับ เพราะเห็นน่าจอเดียวกัน         
       

วันเสาร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2561

ส่อง 11 เทรนด์สมาร์ทโฟน Android 2018 กับฟีเจอร์และสเปกยอดนิยมในอนาคต


            หลายคนคงบอกว่า “สมาร์ทโฟนมันเริ่มตันแล้ว” หลังปีที่ผ่าน ๆ มา ส่วนมากจะมีแต่รุ่นที่มาพร้อมสเปกเดิม ๆ ไม่ต่างจากรุ่นก่อนเท่าไร แต่ในงาน MWC 2018 ที่ผ่านมา ก็เริ่มเห็นการพัฒนาสเปกและฟีเจอร์ที่แปลกใหม่มากขึ้น (ให้ชื้นใจนิด ๆ) จนพอสรุปออกมาได้ทั้งหมด 11 อย่าง ที่ต่อไปจะกลายเป็นทิศทางใหม่ของสมาร์ทโฟนด้วย โดยเทรนด์สมาร์ทโฟน 2018 ปีนี้จะมีอะไรบ้าง มาดูกันเลย

1.จอไร้ขอบ

แม้จะเคยมีสมาร์ทโฟนจอไร้ขอบตัวแรกอย่าง Sharp Aquos Crystal ที่เปิดตัวตั้งแต่ปี 2014 แต่เทรนด์นี้เพิ่งจะมาดังจริง ๆ ตอนปี 2016 หลัง Xiaomi Mi Mix เปิดตัว และเริ่มตาม ๆ กันมา หลังเปิดตัว Samsung Galaxy S8 กับ Note 8 และ iPhone X นี้เอง สำหรับฟีเจอร์ไร้ขอบ ส่วนมากจะมาพร้อมสัดส่วน 18:9 มีข้อดีตรงที่ทำให้เครื่องสวยขึ้นมาก และยังช่วยให้สมาร์ทโฟนมีหน้าจอใหญ่ขึ้น แต่ตัวเครื่องไม่ใหญ่ตามด้วย อย่างไรก็ตามก็มีข้อเสียที่รอการแก้ไขอย่าง แอพฯ บางตัวยังไม่รองรับการแสดงผลกับจอนี้ และการดูวิดีโอแบบเปิดเต็มจอ 
                                                                อาจทำให้ภาพถูก Crop ไปบางส่วยด้วยเช่นกัน


2.กล้องคู่ (๐๐)


ต่อจากเทรนด์ไร้ขอบ ก็มีฟีเจอร์ที่ตีคู่กันมาอย่าง Dual Camera หรือกล้องหลังคู่ (๐๐) ที่ทุกวันนี้เริ่มมีในสมาร์ทโฟนระดับเรือธงเกือบทุกรุ่นแล้ว อย่าง Samsung ที่เพิ่งมายัดใน S9+ ไม่นานนี้เอง และทาง Sony ก็เริ่มแงมฟีเจอร์นี้ให้เห็นแล้ว คาดมาใน “Sony Xperia XZ Pro” ที่ล่ำลือกันเร็ว ๆ นี้ ส่วนกล้องหลังคู่ในที่นี้ ก็หมายถึงเลนส์สองตัว แบ่งเป็นเลนส์ Telephoto และเลนส์ Wide หรือ Normal มาติดตั้งอยู่ใกล้ ๆ กัน โดยการทำงานก็จะสลับกันตามการใช้งาน เช่น ถ้าเรากดซูมภาพ มันก็จะสลับไปใช้เลนส์ Telephoto ทันที วิธีนี้จะช่วยให้สมาร์ทโฟนถ่ายรูปได้สวยขึ้นนั้นเอง จากปกติมีเลนส์เดียว และเซ็นเซอร์ไม่ใหญ่มากเพราะขีดจำกันด้านพื้นที่ของสมาร์ทโฟน (กับเปลี่ยนเลนส์เหมือนกล้องใหญ่ไม่ได้) ทำให้เกิดเป็นฟีเจอร์กล้องหลังคู่นี้เอง ด้วยการยัดเลนส์ขนาดเล็กสองตัว แล้วแยกหน้าที่ไปเลย
ปัจจุบันฟีเจอร์กล้องคู่นี้ แม้จะมีในสมาร์ทโฟนระดับบน ๆ ซะส่วนใหญ่ แต่ในอนาคตอาจเริ่มมีในรุ่นกลาง – ล่างแล้ว หลังทาง Samsung เปิดตัวเซ็นเซอร์ ISOCELL Dual เป็นโซลูชันหรือชุดพัฒนาเซ็นเซอร์กล้องคู่ (Kit) สำหรับใช้บนสมาร์ทโฟนระดับกลาง ที่มีราคาย่อมเยาโดยเฉพาะ ซึ่งจะทำให้คนทั่วไปเข้าถึงฟีเจอร์นี้ได้ง่ายขึ้น

3.กล้องวิดีโอ Slow Motion

สำหรับฟีเจอร์นี้ก็คือการถ่ายวิดีโอแบบสโลโมชั่นตามชื่อ ทำให้เราสนุกกับการถ่ายวิดีโอมากขึ้น และสำหรับแบรนด์แรกที่ทำได้ก่อนคือ Sony ในรุ่น XZ1 เมื่อปีที่แล้ว ที่สามารถถ่ายภาพวิดีโอสโลโมชั่นแบบ 960fps ต่อวินาที ในความละเอียด HD (720p) กระทั้งในงาน MWC 2018 ทาง Samsung เปิดตัว Galaxy S9 และ S9+ ที่มาพร้อมกล้อง Slow Motion ด้วยเหมือนกัน ทำให้ฟีเจอร์นี้ถูกพูดถึงอีกครั้ง (ด้วยพลังการตลาดของ Samsung) แต่ยังฮือฮาไม่ทันไร ทางค่าย Sony ก็โชว์ฟีเจอร์ถ่ายภาพวิดีโอสโลโมชั่นแบบ 960fps ที่ความละเอียด Full HD (1080p) !! ใน XZ2 ที่เพิ่งเปิดตัวไปนี้เอง โดยตัว S9 ใช้ความละเอียดที่ 720p ในขณะที่ XZ2 ไป 1080p เรียบร้อย…..


4.RAM 6GB+

มาดูกันที่ด้านสเปกกันบ้าง ปัจจุบันสมาร์ทโฟนเกือบทุกรุ่น จะมาพร้อมแรมขนาด 4GB ขึ้นไปเลย เพื่อการใช้งานที่ลื่นไหล และเนื่องจากมีทั้งแอพฯ ที่ต้องใช้แรมมากขึ้น กับพฤติกรรมผู้ใช้ ที่ชอบเปิดแอพฯ หลาย ๆ ตัวพร้อมกัน (Multitasking) ทำให้ต้องใช้พื้นที่ในส่วนนี้พอควร ทั้งนี้ในงาน MWC 2018 ที่ผ่านมา ทาง Asus ได้เปิดตัว Zenfone 5Z ที่มาพร้อมแรมขนาดให้เลือกถึง 8GB กันเลย ส่วนรุ่นอื่น ๆ ที่เปิดตัวในงาน ส่วนมากก็มาพร้อมแรมขนาด 6GB เช่น Samsung Galaxy S9+, LG V30S ThinQ และ Nokia 8 Sirocco กลายเป็นว่า แรมสมาร์ทโฟนสมัยใหม่ต้องมาพร้อมขนาดความจุที่ 6GB ขึ้นไปแล้ว


5.ช่องหูฟัง 3.5 mm ที่หายไป แทนที่ด้วยพอร์ต USB-C
สำหรับพอร์ต USB-C อาจไม่ได้แปลกใหม่มากนัก เพราะเริ่มมีมาได้พักใหญ่แล้ว แต่ประเด็นคือ “มันมาแทนที่ช่องหูฟัง 3.5 mm ซะงั้น” คือเริ่มมาจากตอนเปิดตัว iPhone 7 ที่ตัดพอร์ต 3.5 mm นี้ออกไป เพราะช่วยให้เครื่องบางขึ้น และเป็นการชวน (เชิงบังคับ) ให้ทุกคนมาร่วมใช้การเชื่อมต่อแบบไร้สายมากขึ้น หลังเปิดตัวครั้งนั้นก็มีเสียงแตกทั้งว่าดีและไม่ดีกันไป กระทั้งฝั่ง Android ก็เอากับเค้าด้วย อาทิ Google Pixel, Moto Z, HTC U11, Xiaomi Mi 6 และรุ่นที่เพิ่งตัดไปหมาด ๆ อย่าง Sony XZ1 กับ XZ1 Compact 

โดยทาง iPhone 7 แทนที่ด้วยพอร์ต Lightning ส่วนฝั่งสมาร์ทโฟน Android ก็แทนที่ด้วยพอร์ต USB-C นี้เอง 


6.ที่สแกนลายนิ้วมือใต้จอ


ตอนนี้มีแบรนด์เดียวที่ลุยคือ Vivo ในงาน CES 2018 ก็โชว์ตัวต้นแบบกันไป จากนั้นก็โผล์ใน Vivo X20 Plus UD แบบเต็มตัวครั้งแรก ล่าสุดในงาน MWC 2018 ก็โชว์ตัวต้นแบบอีกรุ่น ในชื่อว่า “Apex” ที่มาพร้อมสแกนลายนิ้วมือใต้จอเหมือนกัน แต่รอบนี้มีพื้นที่สแกนกว้างกว่าเก่ามาก และนอกจากสแกนลายนิ้วมือใต้จอนี้แล้ว ยังมาพร้อมหน้าจอที่เรียกได้ว่าไร้ขอบจริง ๆ ด้วย



7.ระบบ Security ใหม่


ระบบ Security หรือฟีเจอร์รักษาความปลอดภัยในที่นี้ ก็มีทั้งฟีเจอร์ปลดล็อคเครื่อง และระบบความปลอดภัยภายใน ที่ส่วนมากมีอยู่ให้ระบบปฏิบัติการอยู่แล้ว โดยมีอัพเดตกันทุก ๆ เดืือนเลย แต่ดูเหมือนจะยังไม่พอ หลังที่ผ่านมานี้ มีรายงานเรื่องสมาร์ทโฟนถูกแฮกอยู่บ่อย ๆ จนในงาน MWC 2018 มีเปิดตัวรุ่นที่มาพร้อมระบบความปลอดภัยชั้นสูงอย่าง SikurPhone สมาร์ทโฟนสาย Cryptocurrency ที่มาพร้อม e-Wallet ในตัวกับระบบความปลอดภัยระดับสูง กับทาง Samsung ก็มีเปิดตัว Galaxy Note 8 และ Galaxy S8 รุ่น Enterprise Edition (EE) หรือเวอร์ชั่นองค์กรด้วย เชื่อว่าสมาร์ทโฟนรุ่นต่อ ๆ ไป จะมาพร้อมระบบรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดขึ้นแน่นอน



8.e-SIM

แม้ยังไม่มีในสมาร์ทโฟน แต่เชื่อว่าต่อไปต้องมาแน่ ๆ หลังทาง Apple ได้ยัดฟีเจอร์นี้ใน Apple Watch Series 3 ซึ่งวางขายในไทยแล้วด้วย แต่ในบ้านเราคงใช้งานมันได้ไม่เต็มที่เท่าไรนัก สำหรับ e-SIM ก็คือซิมการ์ดแบบใหม่ จากที่เป็นชิปรูปแบบการ์ดขนาดเล็ก ก็เปลี่ยนมาเป็นชิปฝังในอุปกรณ์เลย ส่งผลให้อุปกรณ์นั้น ๆ ไม่สามารถถอดเปลี่ยนซิมการ์ดได้ แต่แลกกับข้อดีคือ ไม่ต้องทำถาดใส่ซิมการ์ดให้เปลื้องพื้นที่ ทำให้ผู้ออกแบบสมาร์ทโฟน หรืออุปกรณ์อื่น ๆ มีพื้นที่สำหรับใส่ฟีเจอร์เพิ่มเติมได้มากขึ้น 



9.AI (Artificial Intelligence)

สมาร์ทโฟนที่มาพร้อมปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ในตัว ซึ่งก็ช่วยให้สมาร์ทโฟนมีฟีเจอร์ใหม่ ๆ ตามมาด้วย โดยบทบาทที่เด่นสุดก็ไม่พ้นเรื่องกล้อง ซึ่งนอกจากช่วยให้ถ่ายรูปได้ดีขึ้นแล้ว ยังช่วยเป็นตาวิเศษ สามารถวิเคราะห์วัตถุตรงหน้าได้เลย อย่าง 
Bixby ใน Samsung Galaxy หรือแปลภาษาผ่านกล้องด้วย Google Assistant ในสมาร์ทโฟน Android เกือบทุกรุ่น และฝั่ง Apple ก็มี Siri ที่อยู่คู่กับ iPhone มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว โดยช่วยให้เราสามารถป้อนคำสั่งผ่านเสียงได้เลย 

ทำให้การใช้งานสมาร์ทโฟนมีความหลากหลายกว่ากว่า ซึ่งในอนาคตจะหลากหลายยิ่งกว่านี้


10.AR  :  Augmented Reality


           สำหรับ AR หรือ Augmented Reality การซ้อนเสมือนจริงในโลกแห่งความจริง หรือพูดง่าย ๆ ก็ฟีเจอร์ 3D Emoji หรือ Animoji ที่เห็นใน Galaxy S9/S9+ และ iPhone X นี้เอง ที่มันจะซ้อนภาพ Emoji แบบสามมิติ บนใบหน้าของเราจริง ๆ ผ่านกล้องสมาร์ทโฟน นอกจากส่วนนี้แล้ว ก็ยังมีการใช้ร่วมกับแว่น Mixed Reality หรือ MR ด้วย ที่ช่วยให้มองเห็นภาพ AR ได้แบบผ่านตาตัวเองเลย โดยไม่ต้องมองผ่านจอสมาร์ทโฟนเหมือนก่อน



11.ติ่งบนหน้าจอ

ปิดท้ายด้วยอภิมหาเทรนด์สมาร์ทโฟน 2018 ที่พูดได้เต็มปากว่า “ลอกตามกัน” แม้ตอนที่เปิดตัว Essential Phone ก็เคยมีกระแสอยู่พักหนึ่ง แต่มาหนักสุดคือตอนเปิดตัว iPhone X ที่มาพร้อมกล้อง TrueDepth ช่วยสแกนใบหน้าแบบ 3D และเซ็นเซอร์อื่น ๆ อีกเพียบ แต่เซ็นเซอร์ทั้งหมดนั้น ก็มากระจุกอยู่ในขอบบนของหน้าจอ จนมีลักษณะคล้าย “ติ่ง” หรือรอยบากขนาดใหญ่บนจอ สร้างความขัดตากับผู้ใช้บางคนอยู่ไม่น้อย แต่แล้วสมาร์ทโฟนฝั่ง Android ก็เอากับเค้าด้วย หลังในงาน MWC 2018 ก็โชว์กันแบบไม่เกรงใจ อย่าง Asus ZenFone 5Z ที่ยอมรับตรง ๆ ว่าลอกมา แต่คุยว่า “เราเล็กกว่า” ใน LG G7 ว่าที่เรือธงตัวใหม่ของ LG ก็มีภาพหลุดโชว์หน้าจอเครื่องพร้อมรอยติ่งเหมือนกัน จากนั้นก็มีสารพัดติ่งบนสมาร์ทโฟนอีกหลายรุ่นตามมา โดยเฉพาะฝั่งจีนอย่าง Oukitel U18 และ Leagoo S9


ChaiMed@2020
 Cradit : https://www.aripfan.com




วันอาทิตย์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2561

Thailand 4.0  หรือไทยจะเป็นแค่ผู้ใช้  ไม่ใช่ผู้สร้างเทคโนโลยี

               จากข่าวสาร ต่างๆ  ที่ผ่านมา  คนไทยส่วนมากในสังคม มีพฤติกรรม  และชอบติดตามข่าวสารทางด้านบันเทิง ข่าวชาวบ้าน ที่เป็นเรื่องของคนอื่นๆ แล้วบางครั้ง ไม่รู้จริงหรือไม่จริง มีการตัดสินไปก่อนล่วงหน้า  มีการแชร์กันสนั่นหวั่นไหว  ไม่คำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดกับบุคคลที่เป็นข่าว  ไม่ว่าชาวบ้าน สื่อ แม้กระทั่งผู้หลักผู้ใหญ่ ในบ้านเมือง  บางครั้งทุ่มงบประมาณ จำนวนมหาสาร ไปกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง  แต่เรื่องที่จะทำให้เกิดการพัฒนา ตนเอง ประเทศชาติ  เรื่องที่มีสาระ กับไม่ค่อยมีผู้คนสนใจ 
                สังคมไทย มีพฤติกรรม รักสงบ  ไม่มีใครมารบ หรือรุกรานเรา  เราก็หาเรื่องทะเลาะกันเอง  พอมีคนอื่น มารุกรานเรา  คนไทยเรา พร้อมจะลืมเรื่องที่เราทะเลาะกัน ทันที แล้วหันหน้ามาสามัคคีกันก่อน  เมื่อพ้นภัย ก็กลับมาทะเลาะกันต่อ 
               พฤติกรรม และความสนใจของคนไทย  ทุกวันนี้ มักจะเดินสวนทางกับ นโยบายของประเทศ  Thailand 4.0    การพัฒนาที่เป็นประโยชน์ กับประเทศ กลับไม่ได้รับการสนับสนุน  ใช้เทคโนโลยี ตอบสนอง ความบันเทิง ความสุขทางกาย ใจ  ซึ่งเปรียบเสมือน เป็นการซื้อเทคโนโลยี   ไม่ใช่ การใช้เทคโนโลยี มาสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับตนเอง หรือสังคม   
.......หรือสังคมไทย จะเป็นได้เพียงผู้ใช้  ไม่ใช่ผู้สร้าง.......


ChaiMed@2020
11-03-2018














วันพฤหัสบดีที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2561


วิธีการพิมพ์ข้อมความ ลงในเซลเดียวกัน  แต่ทำเป็นหลายบันทัด  ของ MS Excel 2007




            หลายๆ ครั้งเรา ( ผมด้วย) เจอปัญหาว่า ต้องการพิมพ์ข้อความ ยาวๆ ลง ใน MS Excel   ที่มีความยาวของช่อง จำกัด  วิธีที่เราแก้ไข คือ พิมพ์ หลายๆ บรรทัด  แต่เวลาจัด ให้มีความสวยงาม  เราจะจัดลำบาก มากๆ   
 
           วันนี้ ผมจึงเอาเคล็ดลับ การพิมพ์ข้อความ ลงในเซลเดียว แต่ทำเป็นหลายๆ บรรทัด  มาฝากครับ  มันง่าย มากๆ เลย




















การพิมพ์ข้อมความ ลงในเซลเดียวกัน แต่ ทำเป็นหลายบรรทัด

1. เปิด MS Excell  ขึ้นมา   เลือกช่องที่เราจะพิมพ์ข้อความลงไป

2. พิมพ์ ข้อความลงไปเรื่องๆ  จนถึง คำที่เราจะ ขึ้นบรรทัดใหม่

3. ให้ กดปุ่ม  Alt + Enter  ตัว Cursor จะมาขึ้นบรรทัด ใหม่ทัน ที  แล้วพิมพ์ข้อความที่ต้องการลงไป  ทำไปเรื่อย ๆ  จนจบงานที่เราต้องการจะพิมพ์



เรื่องง่าย ๆ  แต่เราไม่รู้   ก็ทำให้เรา เสียเวลา เหมือนกัน นะครับ


ขอบคุณครับ

Chai Med @2020


 Sherman ชุดเครื่องเสียงมินิคอมโป Bluetooth รุ่น J-2100 (สีดำ)